การรักษาด้วย Ultrasound หรือที่เรียกว่า Therapeutic Ultrasound เป็นเทคนิคทางกายภาพบำบัดที่อาศัยคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ ลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวด โดยมีการใช้อย่างแพร่หลายในเวชศาสตร์ฟื้นฟู ทั้งในผู้ป่วยบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ผู้ป่วยหลังผ่าตัด และผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อเรื้อรัง
หลักการทำงานของ Ultrasound Therapy
Ultrasound Therapy จะใช้หัวอุปกรณ์ (Transducer) ที่ประกอบด้วยผลึกไพโซอิเล็กทริก (Piezoelectric crystal) ซึ่งเมื่อได้รับกระแสไฟฟ้าสลับจะสั่นและปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงออกมา คลื่นนี้ไม่สามารถได้ยินด้วยหูมนุษย์ ความถี่ที่ใช้ในการรักษามักอยู่ในช่วง 1–3 MHz
- ความถี่ 1 MHz: เหมาะสำหรับเนื้อเยื่อลึก 3–5 เซนติเมตร เช่น กล้ามเนื้อลึกหรือข้อต่อสะโพก
- ความถี่ 3 MHz: เหมาะสำหรับเนื้อเยื่อที่อยู่ตื้น 1–2 เซนติเมตร เช่น เส้นเอ็นรอบข้อ หรือกล้ามเนื้อผิวตื้น
กลไกหลักแบ่งเป็น 2 แบบ
1.Thermal Effect
การสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงทำให้เกิดความร้อนในเนื้อเยื่ออ่อน ส่งผลให้
- เพิ่มการไหลเวียนเลือด (Hyperemia)
- ลดความตึงและเกร็งของกล้ามเนื้อ
- เพิ่มความยืดหยุ่นของพังผืดและเส้นเอ็น (Collagen extensibility)
- ลดความเจ็บปวดผ่านกลไก Gate Control Theory และการลดการเกาะตัวของสารเคมีที่กระตุ้นการปวด
2. Non-Thermal Effect
ประกอบด้วย
- Cavitation: การเกิดฟองก๊าซขนาดเล็กในของเหลวรอบเนื้อเยื่อ ทำให้เพิ่มการซึมผ่านของเยื่อหุ้มเซลล์
- Acoustic streaming: การเคลื่อนไหวของของเหลวภายในเนื้อเยื่อ ทำให้เพิ่มการขนส่งสารอาหารและกำจัดของเสียจากเซลล์
กลไกนี้ช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและลดการอักเสบโดยไม่เพิ่มอุณหภูมิ
ประโยชน์ของ Ultrasound Therapy
- ลดอาการปวด ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ผ่านการปรับสภาพการนำสัญญาณปวดในระบบประสาท
- ลดการอักเสบ และบวมโดยช่วยเร่งกระบวนการสลายสารก่อการอักเสบ เช่น Prostaglandins
- เร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เช่น เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และพังผืด
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เนื้อเยื่อมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น
- ช่วยการสมานกระดูก ในบางกรณีของกระดูกหักที่ประสานตัวช้า (Low-intensity pulsed ultrasound: LIPUS)
- เตรียมเนื้อเยื่อก่อนทำการยืดหรือดัดข้อต่อ ช่วยให้การรักษาทางกายภาพบำบัดขั้นต่อไปได้ผลดีขึ้น
ข้อบ่งชี้ในการใช้ Ultrasound Therapy เหมาะกับเคสประเภทไหน
Ultrasound Therapy มักใช้ในกรณีต่อไปนี้
- เอ็นอักเสบ (Tendinitis) เช่น เอ็นหัวไหล่อักเสบ (Rotator cuff tendinitis)
- พังผืดอักเสบ (Fasciitis) เช่น พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar fasciitis)
- กล้ามเนื้อฉีกขาดเล็กน้อย (Muscle strain)
- ข้อไหล่ติด (Adhesive capsulitis)
- ปัญหาพังผืดยึดติดหลังผ่าตัด
- อาการปวดหลังหรือปวดคอจากกล้ามเนื้อและพังผืด
- แผลเรื้อรังที่มีการไหลเวียนเลือดไม่ดี
Ultrasound Therapy เหมาะกับอาการผู้ป่วยระยะไหน
- ระยะเฉียบพลัน: ใช้โหมด Pulsed เพื่อลดการอักเสบโดยไม่ก่อให้เกิดความร้อนมาก
- ระยะกึ่งเฉียบพลันและเรื้อรัง: ใช้โหมด Continuous เพื่อให้ความร้อนลึก ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและลดความตึงของเนื้อเยื่อ
การเลือกต้องอ้างอิงจากการประเมินของแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด เพื่อป้องกันการกระตุ้นการอักเสบเพิ่ม
ความรู้สึกขณะรักษาด้วย Ultrasound Therapy
ผู้ป่วยจะรู้สึกเพียงความอุ่นเล็กน้อยหรือรู้สึกหน่วงตื้อบริเวณที่ทำการรักษาเท่าที่ทนไหว หากมีอาการแสบร้อนขณะทำควรแจ้งนักกายภาพบำบัดทันที เนื่องจากความร้อนอาจไปสะสมมากที่บริเวณผิวชั้นตื้นไม่ลงไปยังเนื้อเยื่อชั้นลึก
ข้อห้ามและข้อควรระวังในการรักษาด้วย Ultrasound Therapy
ข้อห้ามเด็ดขาด
- บริเวณที่มีเนื้องอกหรือมะเร็ง
- บริเวณที่มีการติดเชื้อเฉียบพลัน
- บริเวณเหนือหัวใจ สมอง ตา หรืออัณฑะ
- ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ในบริเวณใกล้เคียง
- บริเวณที่มีหลอดเลือดขอดขนาดใหญ่
ข้อควรระวัง
- หลีกเลี่ยงการใช้บนกระดูกที่อยู่ตื้นเพื่อป้องกันการเกิด periosteal pain
- ควรปรับค่าพลังงานและความถี่ให้เหมาะสมกับความลึกของเนื้อเยื่อ
- หลีกเลี่ยงการใช้ในหญิงตั้งครรภ์บริเวณหน้าท้องและหลังส่วนล่าง
ระยะเวลาในการรักษาด้วย Ultrasound Therapy
ปกติใช้เวลาประมาณ 5–10 นาทีต่อหนึ่งตำแหน่ง ความถี่ของการรักษาอาจอยู่ที่ 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่อง 2–6 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและการตอบสนองของผู้ป่วย
งานวิจัยหลายฉบับพบว่าผลการรักษาจะชัดเจนขึ้นเมื่อใช้ Ultrasound ร่วมกับการออกกำลังกายฟื้นฟูหรือเทคนิคกายภาพบำบัดอื่น ๆ เช่น Manual therapy หรือ Stretching
สรุป
Ultrasound Therapy เป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในเวชศาสตร์ฟื้นฟู โดยมีทั้งกลไกแบบให้ความร้อนและไม่ให้ความร้อน ช่วยลดปวด ลดการอักเสบ และเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ การใช้เครื่องมือนี้อย่างถูกต้องต้องอยู่ภายใต้การประเมินและควบคุมโดยนักกายภาพบำบัด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด