หนึ่งปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายและเชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็น นั่นก็คือ “ริดสีดวงทวาร” ที่ไม่เพียงสร้างความเจ็บปวดทรมาน และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราเท่านั้น แต่ยังทำให้หลายคนรู้สึกอาย สูญเสียความมั่นใจ กว่าจะตัดสินใจไปหาหมอโรคก็อาจลุกลามไปไกล... มาจับสังเกตอาการของริดสีดวงทวารไว้คอยตรวจเช็กตัวเอง รู้จักโรคนี้ให้มากขึ้นทั้งสาเหตุการเกิด แนวทางการรักษา รวมถึงวิธีป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากริดสีดวง!
ริดสีดวงทวาร คืออะไร
ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoid) คือ ภาวะที่หลอดเลือดดำบริเวณปลายสุดของลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีการโป่งพอง บวมและยื่นออกมา ซึ่งสามารถเป็นพร้อมกันได้หลายตำแหน่ง โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือริดสีดวงภายในและภายนอก
1. ริดสีดวงทวารหนักภายใน (Internal Hemorrhoid) คือ ริดสีดวงที่อยู่ในตำแหน่งเหนือทวารหนักขึ้นไป โดยหลอดเลือดที่โป่งพองอาจจะไม่โผล่ออกมาให้เห็นและไม่สามารถคลำได้ หรืออาจมีขนาดใหญ่และสามารถคลำได้ หรือมีขนาดใหญ่จนต้องดันกลับเข้าไปในทวารหนักภายหลังการอุจจาระ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะด้วยกัน คือ
ระยะที่ 1 มีหัวริดสีดวง แต่ไม่ยื่นออกมาทางทวารหนัก อาจมีเลือดสดๆ ขณะถ่ายหรือหลังถ่ายอุจจาระ
ระยะที่ 2 ริดสีดวงโผล่ออกมาขณะเบ่งถ่าย และเลื่อนกลับเข้าไปในทวารหนักได้เองหลังถ่ายอุจจาระ
ระยะที่ 3 ริดสีดวงยื่นโผล่ออกมาขณะเบ่งถ่าย และต้องใช้มือดันกลับเข้าไปในทวารหนัก
ระยะที่ 4 ริดสีดวงยื่นออกนอกทวารหนักตลอดเวลาจนอาจทำให้รู้สึกปวด
อาการของริดสีดวงทวารภายใน เบื้องต้นมักมองไม่เห็นหรือไม่ทำให้เจ็บ แต่หากต้องเบ่งอุจจาระอาจมีอาการดังนี้
- มีเลือดสดออกทางทวารหนักแต่ไม่เจ็บ อาจมีเลือดหยดลงในโถสุขภัณฑ์หรือบนกระดาษทิชชู
- หากมีก้อนยื่นออกนอกทวารจะรู้สึกเจ็บและระคายเคือง
2. ริดสีดวงทวารหนักภายนอก (External Hemorrhoid) จะเกิดขึ้นบริเวณปากรอยย่นทวารหนัก จากการที่กลุ่มหลอดเลือดดำใต้ผิวหนังปากทวารหนักโป่งพอง สามารถมองเห็นและคลำได้ หากมีอาการอาจเกิดความเจ็บปวดได้เพราะผิวหนังที่ปกคลุมมีปลายประสาทรับความรู้สึก
อาการของริดสีดวงทวารภายนอก
- มีเลือดออก
- ผิวรอบทวารบวม
- ไม่สบายตัว เจ็บปวด
- ระคายเคือง คันบริเวณทวารหนัก
นอกจากนี้ หากเป็นโรคริดสีดวงทวารแบบมีลิ่มเลือด มักมีอาการบวม ปวดรุนแรง อักเสบ มีก้อนบวมและมีไตแข็งรอบทวารหนัก
ภาวะแทรกซ้อนของโรคที่อาจเกิดขึ้นได้
- โลหิตจาง (Anemia) มีภาวะซีด
- ริดสีดวงทวารอักเสบที่มีภาวะขาดเลือดร่วมด้วย
- ลิ่มเลือด
สาเหตุที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร
สำหรับสาเหตุของการเกิดริดสีดวงทวารยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มักพบใน
- ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องยืนนานๆ มีผลทำให้ความดันเลือดในหลอดเลือดดำบริเวณปากทวารไหลกลับเข้าสู่หลอดเลือดดำช่องท้องช้าลง ส่งผลให้เกิดการคั่งและโป่งพองบริเวณปากรูทวารหนัก
- เกิดจากโรคแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ เช่น โรคตับแข็ง ซึ่งจะมีอาการท้องมานในระยะสุดท้าย และเมื่อมีน้ำในช่องท้องมาก ๆ จะไปกดการไหลเวียนเลือดในช่องท้อง เป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดดำไหลกลับเข้าช่องท้องได้ไม่ดีนัก
- ปัจจัยทางพันธุกรรม : พบว่า ยีน FOXC2 gene บนโครโมโซมคู่ที่ 16 อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดของโรคและเส้นเลือดขอดที่ขา
ความเสี่ยงในการเกิดริดสีดวงทวาร
เมื่อแรงดันในทวารหนักสูงขึ้น เส้นเลือดรอบทวารหนักจะคั่งเลือดและยืดขยายโตขึ้น ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร ซึ่งแรงดันในทวารหนักจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีปัจจัยร่วมดังนี้
- ท้องผูกเรื้อรัง
- ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระบ่อย ๆ
- นั่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน
- เบ่งแรงขณะขับถ่าย
- การตั้งครรภ์ ทำให้ถ่ายอุจจาระไม่สะดวก
- โรคตับแข็ง ส่งผลถึงเส้นเลือดดำบริเวณทวารโป่งพอง
- ใช้ยาระบาย ยาสวนอุจจาระบ่อยโดยไม่จำเป็น
- อายุมาก กล้ามเนื้อหย่อนยาน
- ไอเรื้อรัง
- โรคอ้วน (Obesity) มีภาวะน้ำหนักเกิน
- ยกและหิ้วของหนักเป็นประจำ
- กรรมพันธุ์ มีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้
- มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
- ไม่รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง
การตรวจวินิจฉัย ริดสีดวงทวาร ทำได้อย่างไร
- การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
- การตรวจทางทวารหนัก โดยการสอดนิ้วผ่านรูทวารเพื่อคลำหาก้อนเนื้อในลำไส้ตรง
- การส่องกล้องตรวจทวารหนักและลำไส้ตรง เป็นการตรวจด้วยการส่องกล้อง โดยใช้กล้องชนิดต่าง ๆ เช่น anoscope, proctoscope หรือ sigmoidoscopy เพื่อตรวจส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ซึ่งคลำไม่ถึง หรือไม่พบจากการตรวจด้วยนิ้วทางทวารหนัก
แนวทางการรักษาริดสีดวงทวาร
ริดสีดวงทวารมีวิธีการรักษาที่หลากหลาย ดังนี้
- การใช้ยาเหน็บทวาร ครีมทาทวาร (ถ้าซื้อใช้เองไม่ควรใช้นานเกิน 1 สัปดาห์) และรับประทานยาระบายเพื่อลดการอักเสบและการระคายเคือง
- การฉีดยาที่หัวริดสีดวงทวารเพื่อให้หัวริดสีดวงยุบลง
- การใช้ยางรัด (rubber band ligation) เพื่อให้หัวริดสีดวงหลุดออก และพังผืดที่เกิดจากแผลจะรั้งริดสีดวงที่เหลือให้หดกลับเข้าไปในทวารหนัก
- การจี้ริดสีดวงทวารด้วยอินฟราเรด (infrared photocoagulation) เพื่อให้ริดสีดวงยุบลงและหยุดเลือดออก
- การจี้ริดสีดวงทวารด้วย bipolar coagulation เพื่อให้ริดสีดวงยุบลง และหยุดเลือดออกเช่นเดียวกับการจี้ด้วยอินฟราเรด
- การผ่าตัดริดสีดวงทวารเพื่อตัด หรือเย็บ หรือผูกหัวริดสีดวงที่มีอาการ
การรักษาริดสีดวงด้วยเลเซอร์ (Laser Hemorrhoidoplasty)
เป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาที่ได้ผลดีและได้รับความนิยมแพร่หลาย เหมาะกับริดสีดวงทวารที่มีเลือดออก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาการกลั้นอุจจาระผิดปกติ รวมถึงผู้ป่วยที่ไวต่อความรู้สึกเจ็บปวด และไม่อยากทนกับอาการปวดแผลหลังจากผ่าตัดริดสีดวงทวาร
โดยแพทย์จะใช้เลเซอร์จี้ไปที่บริเวณหลอดเลือดที่มาเลี้ยงริดสีดวงทวาร ทำให้ริดสีดวงที่มีขนาดใหญ่ฝ่อ เล็กลง และยุบลงไปโดยไม่กระทบกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก มีผลข้างเคียงในการรักษาน้อยกว่าการผ่าตัด เจ็บน้อย พักฟื้นไม่นาน มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำภายหลังสูงกว่าการผ่าตัดเล็กน้อย
วิธีการป้องกันริดสีดวงทวาร
- รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น รำข้าว ข้าวซ้อมมือ งาดำ ผักและผลไม้ทุกชนิด
- ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว การดื่มน้ำแก้วใหญ่ทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้าจะช่วยในการขับถ่ายได้
- หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น อาหารรสจัด อาหารที่ไม่สุกสะอาด
- หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์
- หลีกเลี่ยงการกลั้นหรือเบ่งถ่ายอุจจาระ และควรฝึกหัดการขับถ่ายให้เป็นเวลา
- ทำความสะอาดบริเวณทวารหนักภายหลังการขับถ่ายด้วยน้ำ เพื่อความสะอาดและลดการระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาระบายอย่างรุนแรง หรือการสวนถ่ายอุจจาระเป็นประจำจนเป็นนิสัย
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การทำงานของลำไส้ดีขึ้น
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงความเครียด ทำจิตใจให้ผ่อนคลายอยู่เสมอ
แม้ริดสีดวงจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็สร้างความเจ็บปวด บั่นทอนความสุขและคุณภาพชีวิตทั้งกายใจ และกลับมาเป็นซ้ำได้หากยังคงผูกติดกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ คือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่าเป็นริดสีดวงทวาร ให้รีบมาพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้โรคลุกลามไปถึงภาวะรุนแรงจนต้องเข้ารับการผ่าตัด