รู้ทันโรคไอกรนในเด็ก: อาการและการป้องกัน

article-รู้ทันโรคไอกรนในเด็ก: อาการและการป้องกัน

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2567

5.00

รู้ทันโรคไอกรนในเด็ก: อาการและการป้องกัน

โรคไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis โดยมักพบในเด็ก แต่สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย โรคนี้แพร่กระจายผ่านการไอหรือจาม ทำให้เชื้อโรคกระจายไปในอากาศและสามารถติดต่อไปยังคนใกล้ชิดได้อย่างง่ายดาย

อาการของโรคไอกรน

อาการเริ่มแรกของโรคไอกรนมักคล้ายกับอาการหวัดทั่วไป แต่จะแตกต่างกันเมื่ออาการเริ่มรุนแรงขึ้น โดยอาการหลักของโรคไอกรน ได้แก่:

  • ไอแห้งนานกว่า 10 วัน อาการไอที่ไม่หยุดยั้งและยาวนาน เป็นสัญญาณเริ่มต้นที่สำคัญของโรคไอกรน

  • ไอถี่ ๆ ต่อเนื่อง ผู้ป่วยมักมีการไอติดต่อกันหลายครั้งประมาณ 5-10 ครั้ง โดยที่การหายใจตามมักจะมีเสียงวู้บ (whooping sound) จากการหายใจเข้าแรง ๆ

  • ตาแดงและมีน้ำมูก อาการที่ทำให้คล้ายกับการเป็นหวัด

  • หายใจลำบากในเด็กเล็ก เด็กอาจหายใจไม่ทัน จนหน้าเขียว ซึ่งเป็นอาการที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

สาเหตุของโรคไอกรน

โรคไอกรนเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะเกาะที่ทางเดินหายใจและสร้างสารพิษทำให้เกิดอาการไอรุนแรง เชื้อจะแพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจามของผู้ป่วย ทำให้สามารถติดต่อได้ง่ายโดยเฉพาะในที่ที่มีคนอยู่ใกล้ชิดกัน เช่น โรงเรียน หรือสถานที่ทำงาน

วิธีป้องกันโรคไอกรน

  • การฉีดวัคซีน วัคซีนป้องกันไอกรนคือวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ โดยวัคซีน DTaP (Diphtheria, Tetanus, and Pertussis) จะช่วยป้องกันโรคไอกรนและควรฉีดให้ครบตามคำแนะนำของแพทย์

  • การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ผู้ป่วยควรใส่หน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการไอหรือจามในที่สาธารณะ และล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดการแพร่เชื้อ

  • รักษาระยะห่างในช่วงการแพร่ระบาด หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ที่มีอาการไอหรือจาม โดยเฉพาะในสถานที่แออัด

การรักษาโรคไอกรน

หากพบอาการไอที่ไม่หายภายใน 10 วัน หรือมีการไอถี่รุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที แพทย์อาจแนะนำยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อและลดการแพร่กระจายของเชื้อ นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัว

โรคไอกรนเป็นโรคที่ควรเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก การรู้จักอาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่กระจาย หากมีอาการคล้ายหวัดและไอแห้งนานเกินไป ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม

 

Share:
social-media-iconsocial-media-iconsocial-media-icon

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ โดยคลิก "การตั้งค่าคุกกี้" นโยบายความเป็นส่วนตัว