ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อการฟื้นฟูระบบประสาทได้ก้าวหน้าอย่างมาก หนึ่งในเครื่องมือการรักษาที่ได้รับความสนใจ คือ TMS (Transcranial Magnetic Stimulation) หรือการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นเทคนิคที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และมีงานวิจัยสนับสนุนว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยปรับสมดุลการทำงานของสมองและระบบประสาท
โดย TMS ถูกนำมาใช้ทั้งในด้านการรักษาโรคทางระบบประสาทและจิตเวช เช่น ภาวะซึมเศร้า โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) รวมถึงอาการปวดเรื้อรังบางชนิด ด้วยคุณสมบัติที่สามารถกระตุ้นสมองเฉพาะจุด ทำให้ TMS กลายเป็นอีกหนึ่งความหวังใหม่ในการฟื้นฟูผู้ป่วยที่ต้องการกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติที่สุด
หลักการทำงานของ TMS
TMS (Transcranial Magnetic Stimulation) ทำงานโดยใช้หลักการของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Induction) โดยอุปกรณ์ TMS จะมีขดลวดแม่เหล็ก (Coil) ที่วางไว้บนบริเวณหนังศีรษะ ขดลวดนี้สามารถสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูง แต่มีความปลอดภัย เมื่อคลื่นแม่เหล็กถูกปล่อยออกมาจะทะลุผ่านกะโหลกศีรษะไปยังเนื้อสมองเฉพาะตำแหน่ง โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยื่อรอบข้าง
คลื่นแม่เหล็กเคลื่อนที่เข้าไปในสมอง จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขนาดเล็ก (Electric Current) ในเซลล์ประสาท ส่งผลให้เซลล์ประสาทเหล่านั้นเกิดการยิงสัญญาณ หรือ Action Potential ขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่เซลล์ประสาทสื่อสารกัน
การกระตุ้นสมองด้วย TMS สามารถทำได้ 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ
1. Single-pulse TMS :ใช้คลื่นแม่เหล็กแบบเป็นครั้งเดียว เพื่อประเมินการทำงานของวงจรประสาท เช่น ใช้ดูว่าบริเวณสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวยังตอบสนองได้หรือไม่
2. Repetitive TMS (rTMS) : ใช้คลื่นแม่เหล็กแบบต่อเนื่องและมีความถี่ที่กำหนดไว้ สามารถ เพิ่มหรือลดการทำงานของสมองบางส่วนได้
- คลื่นความถี่สูง (High-frequency ≥ 5 Hz) ช่วยกระตุ้นให้สมองส่วนที่ทำงานน้อยกลับมาทำงานมากขึ้น
- คลื่นความถี่ต่ำ (Low-frequency ≤ 1 Hz) ช่วยยับยั้งสมองส่วนที่ทำงานมากเกินไปให้สมดุลขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น
- ในผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักพบว่าสมองซีกซ้ายที่ควบคุมอารมณ์ทำงานลดลง จึงใช้ rTMS ความถี่สูงเพื่อกระตุ้นสมองซีกซ้าย
- ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) บริเวณสมองซีกที่บาดเจ็บมักทำงานลดลง ในขณะที่สมองอีกซีกทำงานมากเกินไป แพทย์จะใช้ rTMS ความถี่ต่ำเพื่อยับยั้งสมองที่ทำงานเกิน และใช้ความถี่สูงเพื่อกระตุ้นสมองฝั่งที่บาดเจ็บ
ดังนั้น TMS ไม่ได้เพียงแค่กระตุ้นสมองให้ทำงานเท่านั้น แต่ยังสามารถปรับสมดุลการทำงานของสมองให้เหมาะสมกับปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ TMS ถูกนำมาใช้ร่วมกับกายภาพบำบัดและการฟื้นฟูทางระบบประสาท เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ประโยชน์ของ TMS
TMS มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งในแง่การรักษาและการฟื้นฟู ไม่ว่าจะเป็น
- รักษาภาวะซึมเศร้า (Depression) : องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) รับรองการใช้ TMS สำหรับรักษาภาวะซึมเศร้าที่ดื้อต่อการใช้ยา
- ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke Rehabilitation) : กระตุ้นการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเมื่อทำควบคู่กับกายภาพบำบัด
- บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง : เช่น ไมเกรน ปวดหลังจากเส้นประสาทบาดเจ็บ (Neuropathic Pain)
- ช่วยปรับสมดุลสมองในโรคทางประสาทอื่น ๆ : เช่น พาร์กินสัน (Parkinson’s disease) หรือ โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder)
ข้อบ่งชี้ในการใช้ TMS เหมาะกับเคสประเภทไหน
TMS เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการการกระตุ้นสมองเพื่อปรับสมดุลระบบประสาท มีงานวิจัยรองรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในสาขาประสาทวิทยา (Neurology) และ จิตเวช (Psychiatry) ได้แก่
โรคซึมเศร้า (Depression)
เป็นการใช้ TMS ในผู้ป่วยซึมเศร้าที่ไม่ตอบสนองต่อยาต่อการรักษาด้วยยา (treatment-resistant depression) หรือไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาได้ โดยจะช่วยปรับสมดุลสมองซีกซ้ายที่ทำงานลดลง ให้กลับมาทำงานได้ใกล้เคียงปกติ
โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder)
ปรับสมดุลการทำงานของสมองส่วนหน้า (Prefrontal cortex) ลดความตื่นตัวเกินไปของสมอง ทำให้อาการวิตกกังวลลดลง
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)
สามารถช่วยปรับคลื่นสมอง (Brain waves) ให้เข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย เหมาะสำหรับผู้ที่นอนไม่หลับเรื้อรัง ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยา หรือไม่ต้องการพึ่งยานอนหลับระยะยาว
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
กระตุ้นสมองบริเวณที่บาดเจ็บ (Motor cortex) เพิ่มการเชื่อมต่อของวงจรประสาท ช่วยฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อแขน-ขาที่อ่อนแรงหรือมีอาการอัมพฤกษ์/อัมพาต (Paresis / Weakness) เพิ่มความสามารถในการกลืนหลังเกิดโรคหลอดเลือดสมอง จนเกิดภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia) และยิ่งฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อทำควบคู่กับกายภาพบำบัด
โรคปวดเรื้อรัง (Chronic Pain)
เช่น อาการปวดหลัง ปวดคอ ปวดศีรษะ หรือไมเกรน โดยจะช่วยลดความไวเกินไปของสมองต่อความเจ็บปวด (Pain modulation)
โรคพาร์กินสัน (Parkinson's Disease)
กระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ช่วยบรรเทาอาการสั่น แข็งเกร็ง และช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว
โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder - OCD)
กระตุ้นสมองส่วน Orbitofrontal cortex และ Anterior cingulate cortex ช่วยลดพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำได้
โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (Post-Traumatic Stress Disorder - PTSD)
สามารถช่วยลดอาการ PTSD ได้โดยกระตุ้นบริเวณสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม ซึ่งช่วยปรับสมดุลการทำงานของสมอง ลดการหลั่งสารเคมีที่ผิดปกติ และเพิ่มสารสื่อประสาทที่จำเป็น ทำให้ความผิดปกติทางอารมณ์และพฤติกรรมลดลง ส่งผลให้การควบคุมอารมณ์ดีขึ้น
อาการชา (Numbness)
ส่งเสริมการเชื่อมต่อใหม่ของเซลล์ประสาท (Neuroplasticity) ช่วยให้เซลล์ประสาทสามารถสร้างการเชื่อมต่อกันใหม่ ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้ระบบประสาทฟื้นฟูได้ กระตุ้นการหลั่ง Brain-Derived Neurotrophic Factor (BDNF) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยในการงอกใหม่ของเส้นใยประสาท เพิ่มการทำงานของเซลล์ผนังหลอดเลือด ทำให้มีการไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณที่ถูกกระตุ้นมากขึ้น ช่วยลดอาการชาที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ หรือโรคเบาหวานได้
ภาวะสมาธิสั้นและภาวะความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ
อาจช่วยปรับการทำงานของสมองที่เกี่ยวกับสมาธิและความจำให้กลับมาทำงานได้ใกล้เคียงปกติ
อื่น ๆ
เช่น โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้ออื่นๆ, ภาวะการกินผิดปกติ, อาการติดบุหรี่
TMS เหมาะกับอาการผู้ป่วยระยะไหน
- ระยะเฉียบพลัน (Acute) : ยังไม่ใช่ช่วงที่เหมาะสม เพราะสมองอาจยังอยู่ในภาวะไม่คงที่
- ระยะฟื้นฟู (Subacute – Chronic) : เป็นระยะที่เหมาะสมที่สุด เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ผ่านภาวะวิกฤตมาแล้ว แต่ยังคงมีความบกพร่องด้านการเคลื่อนไหวหรือการพูด
- โรคเรื้อรัง : เช่น ซึมเศร้าเรื้อรังหรือปวดเรื้อรัง สามารถใช้ TMS เพื่อช่วยปรับสมดุลสมองและลดอาการได้
ความรู้สึกขณะรักษาด้วย TMS
การรักษาด้วย TMS ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ ผู้ป่วยจะรู้สึกเพียงแรงเคาะเบา ๆ บนหนังศีรษะ คล้ายกับการสะกิดจังหวะซ้ำ ๆ บางรายอาจรู้สึกตึงหรือเกร็งเล็กน้อยบริเวณใบหน้า แต่โดยทั่วไปไม่เป็นอันตรายและสามารถทนได้
หลังการรักษาบางคนอาจมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อยหรือรู้สึกอ่อนเพลีย แต่โดยมากอาการจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง
ข้อห้ามและข้อควรระวังในการรักษาด้วย TMS
- ผู้ที่มีโลหะหรืออุปกรณ์ฝังในสมองและศีรษะ เช่น คลิปหนีบหลอดเลือดสมอง
- ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรือเครื่องกระตุ้นระบบประสาท
- ผู้ป่วยโรคลมชัก (Epilepsy) ควรใช้ด้วยความระมัดระวังและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
- หญิงตั้งครรภ์ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ จึงควรเลี่ยงการรักษาด้วย TMS
ระยะเวลาในการรักษาด้วย TMS
โดยทั่วไปการรักษาด้วย TMS ใช้เวลาประมาณ 20–40 นาทีต่อครั้ง และความถี่ที่แนะนำคือ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ติดต่อกัน 4–6 สัปดาห์ เพื่อให้สมองเกิดการปรับตัวและสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ผลการรักษามักเห็นชัดเจนหลังจากทำไปแล้ว 10–15 ครั้ง และเมื่อครบคอร์ส ผู้ป่วยบางรายอาจต้องการการกระตุ้นซ้ำเป็นระยะ (Maintenance) ตามการประเมินของแพทย์
สรุป
TMS (Transcranial Magnetic Stimulation) เป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูสมองและระบบประสาทโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และมีความปลอดภัยสูง มีประสิทธิภาพทั้งในการรักษาภาวะซึมเศร้า โรคหลอดเลือดสมอง และอาการปวดเรื้อรัง รวมถึงโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ
การทำ TMS ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูและนักกายภาพบำบัด เพื่อประเมินความเหมาะสม วางแผนการรักษา และติดตามผลอย่างใกล้ชิด หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังเผชิญปัญหาเกี่ยวกับสมองและระบบประสาท การรักษาด้วย TMS อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยคืนคุณภาพชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย