TMS กระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟื้นฟูการทำงานอย่างปลอดภัย

article-TMS กระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟื้นฟูการทำงานอย่างปลอดภัย

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2568

5.00

ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อการฟื้นฟูระบบประสาทได้ก้าวหน้าอย่างมาก หนึ่งในเครื่องมือการรักษาที่ได้รับความสนใจ คือ TMS (Transcranial Magnetic Stimulation) หรือการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นเทคนิคที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และมีงานวิจัยสนับสนุนว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยปรับสมดุลการทำงานของสมองและระบบประสาท

โดย TMS ถูกนำมาใช้ทั้งในด้านการรักษาโรคทางระบบประสาทและจิตเวช เช่น ภาวะซึมเศร้า โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) รวมถึงอาการปวดเรื้อรังบางชนิด ด้วยคุณสมบัติที่สามารถกระตุ้นสมองเฉพาะจุด ทำให้ TMS กลายเป็นอีกหนึ่งความหวังใหม่ในการฟื้นฟูผู้ป่วยที่ต้องการกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติที่สุด

หลักการทำงานของ TMS

TMS (Transcranial Magnetic Stimulation) ทำงานโดยใช้หลักการของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Induction) โดยอุปกรณ์ TMS จะมีขดลวดแม่เหล็ก (Coil) ที่วางไว้บนบริเวณหนังศีรษะ ขดลวดนี้สามารถสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสูง แต่มีความปลอดภัย เมื่อคลื่นแม่เหล็กถูกปล่อยออกมาจะทะลุผ่านกะโหลกศีรษะไปยังเนื้อสมองเฉพาะตำแหน่ง โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยื่อรอบข้าง

คลื่นแม่เหล็กเคลื่อนที่เข้าไปในสมอง จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขนาดเล็ก (Electric Current) ในเซลล์ประสาท ส่งผลให้เซลล์ประสาทเหล่านั้นเกิดการยิงสัญญาณ หรือ Action Potential ขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่เซลล์ประสาทสื่อสารกัน

การกระตุ้นสมองด้วย TMS สามารถทำได้ 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ

1. Single-pulse TMS :ใช้คลื่นแม่เหล็กแบบเป็นครั้งเดียว เพื่อประเมินการทำงานของวงจรประสาท เช่น ใช้ดูว่าบริเวณสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวยังตอบสนองได้หรือไม่

2. Repetitive TMS (rTMS) : ใช้คลื่นแม่เหล็กแบบต่อเนื่องและมีความถี่ที่กำหนดไว้ สามารถ เพิ่มหรือลดการทำงานของสมองบางส่วนได้

  • คลื่นความถี่สูง (High-frequency ≥ 5 Hz) ช่วยกระตุ้นให้สมองส่วนที่ทำงานน้อยกลับมาทำงานมากขึ้น
  • คลื่นความถี่ต่ำ (Low-frequency ≤ 1 Hz) ช่วยยับยั้งสมองส่วนที่ทำงานมากเกินไปให้สมดุลขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น

  • ในผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักพบว่าสมองซีกซ้ายที่ควบคุมอารมณ์ทำงานลดลง จึงใช้ rTMS ความถี่สูงเพื่อกระตุ้นสมองซีกซ้าย
  • ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) บริเวณสมองซีกที่บาดเจ็บมักทำงานลดลง ในขณะที่สมองอีกซีกทำงานมากเกินไป แพทย์จะใช้ rTMS ความถี่ต่ำเพื่อยับยั้งสมองที่ทำงานเกิน และใช้ความถี่สูงเพื่อกระตุ้นสมองฝั่งที่บาดเจ็บ

ดังนั้น TMS ไม่ได้เพียงแค่กระตุ้นสมองให้ทำงานเท่านั้น แต่ยังสามารถปรับสมดุลการทำงานของสมองให้เหมาะสมกับปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ TMS ถูกนำมาใช้ร่วมกับกายภาพบำบัดและการฟื้นฟูทางระบบประสาท เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

ประโยชน์ของ TMS

TMS มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งในแง่การรักษาและการฟื้นฟู ไม่ว่าจะเป็น

  • รักษาภาวะซึมเศร้า (Depression) : องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) รับรองการใช้ TMS สำหรับรักษาภาวะซึมเศร้าที่ดื้อต่อการใช้ยา
  • ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke Rehabilitation) : กระตุ้นการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเมื่อทำควบคู่กับกายภาพบำบัด
  • บรรเทาอาการปวดเรื้อรัง : เช่น ไมเกรน ปวดหลังจากเส้นประสาทบาดเจ็บ (Neuropathic Pain)
  • ช่วยปรับสมดุลสมองในโรคทางประสาทอื่น ๆ : เช่น พาร์กินสัน (Parkinson’s disease) หรือ โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder)

ข้อบ่งชี้ในการใช้ TMS เหมาะกับเคสประเภทไหน

TMS เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการการกระตุ้นสมองเพื่อปรับสมดุลระบบประสาท มีงานวิจัยรองรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในสาขาประสาทวิทยา (Neurology) และ จิตเวช (Psychiatry) ได้แก่

โรคซึมเศร้า (Depression)

เป็นการใช้ TMS ในผู้ป่วยซึมเศร้าที่ไม่ตอบสนองต่อยาต่อการรักษาด้วยยา (treatment-resistant depression) หรือไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาได้ โดยจะช่วยปรับสมดุลสมองซีกซ้ายที่ทำงานลดลง ให้กลับมาทำงานได้ใกล้เคียงปกติ

โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder)

ปรับสมดุลการทำงานของสมองส่วนหน้า (Prefrontal cortex) ลดความตื่นตัวเกินไปของสมอง ทำให้อาการวิตกกังวลลดลง

โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)

สามารถช่วยปรับคลื่นสมอง (Brain waves) ให้เข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย เหมาะสำหรับผู้ที่นอนไม่หลับเรื้อรัง ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยา หรือไม่ต้องการพึ่งยานอนหลับระยะยาว

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

กระตุ้นสมองบริเวณที่บาดเจ็บ (Motor cortex) เพิ่มการเชื่อมต่อของวงจรประสาท ช่วยฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อแขน-ขาที่อ่อนแรงหรือมีอาการอัมพฤกษ์/อัมพาต (Paresis / Weakness) เพิ่มความสามารถในการกลืนหลังเกิดโรคหลอดเลือดสมอง จนเกิดภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia) และยิ่งฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อทำควบคู่กับกายภาพบำบัด

โรคปวดเรื้อรัง (Chronic Pain)

เช่น อาการปวดหลัง ปวดคอ ปวดศีรษะ หรือไมเกรน โดยจะช่วยลดความไวเกินไปของสมองต่อความเจ็บปวด (Pain modulation)

โรคพาร์กินสัน (Parkinson's Disease)

กระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ช่วยบรรเทาอาการสั่น แข็งเกร็ง และช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว

โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder - OCD)

กระตุ้นสมองส่วน Orbitofrontal cortex และ Anterior cingulate cortex ช่วยลดพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำได้

โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (Post-Traumatic Stress Disorder - PTSD)

สามารถช่วยลดอาการ PTSD ได้โดยกระตุ้นบริเวณสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม ซึ่งช่วยปรับสมดุลการทำงานของสมอง ลดการหลั่งสารเคมีที่ผิดปกติ และเพิ่มสารสื่อประสาทที่จำเป็น ทำให้ความผิดปกติทางอารมณ์และพฤติกรรมลดลง ส่งผลให้การควบคุมอารมณ์ดีขึ้น

อาการชา (Numbness)

ส่งเสริมการเชื่อมต่อใหม่ของเซลล์ประสาท (Neuroplasticity) ช่วยให้เซลล์ประสาทสามารถสร้างการเชื่อมต่อกันใหม่ ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้ระบบประสาทฟื้นฟูได้ กระตุ้นการหลั่ง Brain-Derived Neurotrophic Factor (BDNF) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยในการงอกใหม่ของเส้นใยประสาท เพิ่มการทำงานของเซลล์ผนังหลอดเลือด ทำให้มีการไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณที่ถูกกระตุ้นมากขึ้น ช่วยลดอาการชาที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ หรือโรคเบาหวานได้

ภาวะสมาธิสั้นและภาวะความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ 

อาจช่วยปรับการทำงานของสมองที่เกี่ยวกับสมาธิและความจำให้กลับมาทำงานได้ใกล้เคียงปกติ

อื่น ๆ 

เช่น โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้ออื่นๆ, ภาวะการกินผิดปกติ, อาการติดบุหรี่

Tms  Brain Stimulation With Electromagnetic Waves for Safe Rehabilitati1

TMS เหมาะกับอาการผู้ป่วยระยะไหน

  • ระยะเฉียบพลัน (Acute) : ยังไม่ใช่ช่วงที่เหมาะสม เพราะสมองอาจยังอยู่ในภาวะไม่คงที่
  • ระยะฟื้นฟู (Subacute – Chronic) : เป็นระยะที่เหมาะสมที่สุด เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ผ่านภาวะวิกฤตมาแล้ว แต่ยังคงมีความบกพร่องด้านการเคลื่อนไหวหรือการพูด
  • โรคเรื้อรัง : เช่น ซึมเศร้าเรื้อรังหรือปวดเรื้อรัง สามารถใช้ TMS เพื่อช่วยปรับสมดุลสมองและลดอาการได้

ความรู้สึกขณะรักษาด้วย TMS

การรักษาด้วย TMS ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ ผู้ป่วยจะรู้สึกเพียงแรงเคาะเบา ๆ บนหนังศีรษะ คล้ายกับการสะกิดจังหวะซ้ำ ๆ บางรายอาจรู้สึกตึงหรือเกร็งเล็กน้อยบริเวณใบหน้า แต่โดยทั่วไปไม่เป็นอันตรายและสามารถทนได้

หลังการรักษาบางคนอาจมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อยหรือรู้สึกอ่อนเพลีย แต่โดยมากอาการจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง

ข้อห้ามและข้อควรระวังในการรักษาด้วย TMS

  • ผู้ที่มีโลหะหรืออุปกรณ์ฝังในสมองและศีรษะ เช่น คลิปหนีบหลอดเลือดสมอง
  • ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรือเครื่องกระตุ้นระบบประสาท
  • ผู้ป่วยโรคลมชัก (Epilepsy) ควรใช้ด้วยความระมัดระวังและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • หญิงตั้งครรภ์ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ จึงควรเลี่ยงการรักษาด้วย TMS

ระยะเวลาในการรักษาด้วย TMS

โดยทั่วไปการรักษาด้วย TMS ใช้เวลาประมาณ 20–40 นาทีต่อครั้ง และความถี่ที่แนะนำคือ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ติดต่อกัน 4–6 สัปดาห์ เพื่อให้สมองเกิดการปรับตัวและสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

ผลการรักษามักเห็นชัดเจนหลังจากทำไปแล้ว 10–15 ครั้ง และเมื่อครบคอร์ส ผู้ป่วยบางรายอาจต้องการการกระตุ้นซ้ำเป็นระยะ (Maintenance) ตามการประเมินของแพทย์

สรุป

TMS (Transcranial Magnetic Stimulation) เป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูสมองและระบบประสาทโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และมีความปลอดภัยสูง มีประสิทธิภาพทั้งในการรักษาภาวะซึมเศร้า โรคหลอดเลือดสมอง และอาการปวดเรื้อรัง รวมถึงโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ

การทำ TMS ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูและนักกายภาพบำบัด เพื่อประเมินความเหมาะสม วางแผนการรักษา และติดตามผลอย่างใกล้ชิด หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังเผชิญปัญหาเกี่ยวกับสมองและระบบประสาท การรักษาด้วย TMS อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยคืนคุณภาพชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

Share:
social-media-iconsocial-media-iconsocial-media-icon

ศูนย์การแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ โดยคลิก "การตั้งค่าคุกกี้" นโยบายความเป็นส่วนตัว