ไข้อีดำอีแดง ไข้สูง ผื่นแดง อันตรายที่ป้องกันได้

article-ไข้อีดำอีแดง ไข้สูง ผื่นแดง อันตรายที่ป้องกันได้

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568

5.00

ไข้อีดำอีแดง (Scarlet Fever) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยในเด็ก โดยมีลักษณะเด่น คือ มีไข้สูง ผื่นแดง และลิ้นเป็นสีแดงคล้ายสตรอว์เบอร์รี หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้

สาเหตุของไข้อีดำอีแดง

ไข้อีดำอีแดงเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ (Streptococcus Group A) ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคคออักเสบ เชื้อนี้สามารถแพร่กระจายผ่านการไอ จาม หรือติดจากการสัมผัสของใช้ที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ

อาการของไข้อีดำอีแดง

อาการของไข้อีดำอีแดงมักปรากฏภายใน 2-4 วัน หลังได้รับเชื้อ โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • ไข้สูงกว่า 38.3°C
  • เจ็บคอรุนแรง ต่อมทอนซิลบวมแดง อาจมีหนอง
  • ผื่นแดงทั่วร่างกาย โดยเริ่มจากหน้าอก ลำคอ และลามไปแขนขา
  • ลิ้นเป็นตุ่มแดงคล้ายสตรอว์เบอร์รี (Strawberry tongue)
  • ผิวแห้งลอกหลังผื่นเริ่มจาง
  • คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และปวดท้อง

Scarlet Fever  High Fever, Red Rash, Preventable Danger2

การวินิจฉัยไข้อีดำอีแดง

แพทย์มักวินิจฉัยโรคจาก การตรวจร่างกาย และอาการของผู้ป่วย นอกจากนี้ อาจใช้การตรวจเพิ่มเติม เช่น

  • การตรวจ Rapid Strep Test – ทดสอบหาเชื้อสเตรปโตคอคคัสในลำคอ
  • การเพาะเชื้อจากสารคัดหลั่งในลำคอ

การรักษาไข้อีดำอีแดง

1. การใช้ยาปฏิชีวนะ

แพทย์มักให้ยาเพนิซิลลิน หรือ อะม็อกซิซิลลิน เพื่อกำจัดเชื้อ ควรรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง

2. การดูแลตามอาการ เช่น

  • ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • รับประทานอาหารอ่อนเพื่อลดการระคายเคืองคอ
  • ใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวด

ภาวะแทรกซ้อนของไข้อีดำอีแดง

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ไข้อีดำอีแดงอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น

  • ไข้รูมาติก (Rheumatic Fever) ส่งผลต่อหัวใจ
  • ไตอักเสบ (Post-streptococcal glomerulonephritis)
  • หูชั้นกลางอักเสบ
  • ปอดอักเสบ หรือไข้หวัดใหญ่แทรกซ้อน

วิธีป้องกันไข้อีดำอีแดง

  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้ป่วย
  • ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม
  • พักผ่อนให้เพียงพอและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง

ไข้อีดำอีแดงเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ผู้ป่วยมักจะหายเป็นปกติภายใน 7-10 วัน อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคโดยรักษาสุขอนามัยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ

Share:
social-media-iconsocial-media-iconsocial-media-icon

ศูนย์การแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ โดยคลิก "การตั้งค่าคุกกี้" นโยบายความเป็นส่วนตัว