ไข้อีดำอีแดง (Scarlet Fever) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยในเด็ก โดยมีลักษณะเด่น คือ มีไข้สูง ผื่นแดง และลิ้นเป็นสีแดงคล้ายสตรอว์เบอร์รี หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้
สาเหตุของไข้อีดำอีแดง
ไข้อีดำอีแดงเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ (Streptococcus Group A) ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคคออักเสบ เชื้อนี้สามารถแพร่กระจายผ่านการไอ จาม หรือติดจากการสัมผัสของใช้ที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
อาการของไข้อีดำอีแดง
อาการของไข้อีดำอีแดงมักปรากฏภายใน 2-4 วัน หลังได้รับเชื้อ โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- ไข้สูงกว่า 38.3°C
- เจ็บคอรุนแรง ต่อมทอนซิลบวมแดง อาจมีหนอง
- ผื่นแดงทั่วร่างกาย โดยเริ่มจากหน้าอก ลำคอ และลามไปแขนขา
- ลิ้นเป็นตุ่มแดงคล้ายสตรอว์เบอร์รี (Strawberry tongue)
- ผิวแห้งลอกหลังผื่นเริ่มจาง
- คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และปวดท้อง
การวินิจฉัยไข้อีดำอีแดง
แพทย์มักวินิจฉัยโรคจาก การตรวจร่างกาย และอาการของผู้ป่วย นอกจากนี้ อาจใช้การตรวจเพิ่มเติม เช่น
- การตรวจ Rapid Strep Test – ทดสอบหาเชื้อสเตรปโตคอคคัสในลำคอ
- การเพาะเชื้อจากสารคัดหลั่งในลำคอ
การรักษาไข้อีดำอีแดง
1. การใช้ยาปฏิชีวนะ
แพทย์มักให้ยาเพนิซิลลิน หรือ อะม็อกซิซิลลิน เพื่อกำจัดเชื้อ ควรรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง
2. การดูแลตามอาการ เช่น
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- รับประทานอาหารอ่อนเพื่อลดการระคายเคืองคอ
- ใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวด
ภาวะแทรกซ้อนของไข้อีดำอีแดง
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ไข้อีดำอีแดงอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น
- ไข้รูมาติก (Rheumatic Fever) ส่งผลต่อหัวใจ
- ไตอักเสบ (Post-streptococcal glomerulonephritis)
- หูชั้นกลางอักเสบ
- ปอดอักเสบ หรือไข้หวัดใหญ่แทรกซ้อน
วิธีป้องกันไข้อีดำอีแดง
- ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด
- หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้ป่วย
- ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม
- พักผ่อนให้เพียงพอและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
ไข้อีดำอีแดงเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ผู้ป่วยมักจะหายเป็นปกติภายใน 7-10 วัน อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคโดยรักษาสุขอนามัยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ