ขณะนี้โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน XEC กำลังเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย แม้อาการจะไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ก่อนหน้า แต่ด้วยความสามารถในการแพร่เชื้อที่เร็วกว่าเดิมถึงเท่าตัว ทำให้ทุกคนต้องไม่ประมาท โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง
โอมิครอน XEC แพร่เร็วแค่ไหน?
ข้อมูลจากประเทศสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และจีน ในปี 2567 ระบุว่า
- XEC แพร่เร็วกว่าโอมิครอนสายพันธุ์อื่นถึง
- 84% ในอังกฤษ
- 90% ในสหรัฐอเมริกา
- 110% ในจีน
ถือเป็นสายพันธุ์ที่แพร่เชื้อได้รวดเร็วมาก แม้จะไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์เดิม แต่ก็ทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
อาการของโอมิครอน XEC (ข้อมูลจาก รพ.รามาธิบดี และ NHS สหราชอาณาจักร)
- ไข้สูง หรือหนาวสั่น (แตะหน้าอก/หลังแล้วรู้สึกร้อน)
- ไอต่อเนื่องในช่วง 24 ชั่วโมง
- ไอต่อเนื่องเกิน 1 ชั่วโมง
- หรือไอหลายครั้งรวมกันเกิน 3 ชั่วโมง
- การรับกลิ่นหรือรสเปลี่ยนแปลง หรือสูญเสียไป
- หายใจลำบาก
- เหนื่อยง่าย หมดแรง
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ปวดศีรษะ
- เจ็บคอ
- คัดจมูก น้ำมูกไหล
- เบื่ออาหาร
- ท้องเสีย
- คลื่นไส้ หรืออาเจียน
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง หากติดเชื้ออาจมีอาการรุนแรง
- ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
- หญิงตั้งครรภ์ (อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป)
- ผู้ป่วยกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง ได้แก่
- โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคไตวายเรื้อรัง
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคอ้วน
- โรคมะเร็ง
- โรคเบาหวาน
สรุป
โอมิครอน XEC คือโควิดสายพันธุ์ล่าสุดในปี 2568 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ รวมถึงไทย แม้จะมีอาการไม่รุนแรงในผู้ป่วยทั่วไป แต่กลุ่มเสี่ยงยังคงต้องระวังเป็นพิเศษ หากมีอาการควรรีบตรวจและเข้ารับการรักษา
ดูแลตัวเองเสมอ
- ล้างมือบ่อย
- ใส่หน้ากากในที่ชุมชน
- ตรวจ ATK เมื่อมีอาการ
- และอย่าลืมฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
หากมีอาการสงสัย ตรวจกับแพทย์ทันที