มารู้จักโรคต้อกระจกกันเถอะ
ต้อกระจกเป็นโรคทางตาที่พบได้บ่อย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์ด้วยอาการตามัว มองเห็นไม่ชัดในที่มีแสงสว่างมาก และมองเห็นชัดกว่าในที่มีแสงน้อย เมื่ออยู่ในที่มีแสงจ้ามากๆ จะรู้สึกตาพร่ามัว สู้แสงไม่ได้ โดยอาการที่เป็นเหล่านี้จะไม่มีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย
โรคต้อกระจกเป็นโรคทางตาที่ไม่ติดต่อ ไม่ลุกลามจากตาข้างหนึ่งไปยังดวงตาอีกข้างหนึ่ง แต่มักตรวจพบว่าเริ่มเป็นพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง เนื่องจากได้รับปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ ทำให้เกิดความเสื่อมของเลนส์แก้วตาขึ้นพร้อมๆ กัน
สาเหตุของการเกิดต้อกระจก
ต้อกระจกเกิดจากความเสื่อมของเลนส์แก้วตา ทำให้เลนส์ขุ่นมัวลง โดยมีปัจจัยเสริมต่าง ๆ ดังนี้
- อายุ กว่า 80%ของโรคต้อกระจกพบในผู้สูงอายุ เกิดจากความเสื่อมของเลนส์ตาตามวัย
- การได้รับอุบัติเหตุ การถูกกระทบกระเทือนทางตาอย่างรุนแรง
- จากการใช้ยาบางชนิด เช่น การใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
- โรคเรื้อรังบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคภูมิแพ้บางชนิด โรคขาดสารอาหาร สามารถกระตุ้นให้เกิดความเสื่อมของเลนส์ได้เร็วกว่าปกติ
- ภาวะแทรกซ้อนจากโรคทางตาบางชนิด เช่น ต้อหิน ม่านตาอักเสบ หรือการติดเชื้อที่ตา
- จากรังสี หรือผู้ที่ต้องสัมผัสแสงจ้าเป็นเวลานานๆ เช่น ทำงานกลางแดดตลอดเวลา หรือประกายไฟ จากการเชื่อมโลหะ
- การสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ มีผลทำให้เลนส์เสื่อมก่อนวัยได้
อาการของโรคต้อกระจก
- ตามัว ผู้ป่วยส่วนมากมักมาพบแพทย์ด้วยอาการตามัวลงเรื่อย ๆ มองไม่ชัด มองเห็นชัดในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน (เมื่ออยู่ในที่แสงน้อย รูม่านตาขยายทำให้แสงผ่านได้มากขึ้น แต่เมื่ออยู่ในที่สว่าง รูม่านตาหดตัว แสงจะตกกระทบเฉพาะบริเวณกลางเลนส์ที่ขุ่น ทำให้เห็นภาพไม่ชัด)
- เห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องใส่แว่นเหมือนเคย ในผู้สูงอายุที่เคยต้องสวมแว่นตาอ่านหนังสือ กลับสามารถมองเห็นชัดขึ้นโดยไม่ต้องใช้แว่นเหมือนเดิม เกิดจากการหักเหของแสงตกกระทบเลนส์ตาส่วนที่ขุ่น ทำให้ผู้สูงอายุกลับมาเป็นสายตาสั้นเมื่อแก่
- จุดสีขาวกลางตาดำ ในบางรายเห็นเป็นฝ้าสีขาวบริเวณกลางรูม่านตาที่เรียกว่า “ ต้อกระจกสุก”
ภาวะแทรกซ้อนของโรคต้อกระจก
- เมื่อต้อกระจกสุกและไม่ได้รับการรักษา ทำให้ตามัวลงเรื่อยๆ จนสูญเสียการมองเห็น
- ในบางรายเมื่อต้อสุกมาก เลนส์อาจบวมหรือลอยไปอุดกั้นทางระบายของน้ำหล่อเลี้ยงตา ทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้น จนกลายเป็น “ ต้อหิน ” ได้
การรักษาโรคต้อกระจก
โรคต้อกระจกสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดนำเลนส์ที่ขุ่นออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียม แสงจะสามารถผ่านเลนส์แก้วตาเทียมได้ดีกว่าเลนส์ที่ขุ่นเดิม ทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นทันทีหลังผ่าตัด โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาทำผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ให้เมื่อระยะดำเนินของโรครบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต เช่น การทำงานที่ต้องใช้สายตา การอ่านหนังสือ หรือการขับรถ เป็นต้น
วิธีการผ่าตัดต้อกระจก
- Phacoemulsification
เป็นวิธีที่นิยมทำกันในปัจจุบัน โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง หรือคลื่นอุลตร้าซาวนด์ ไปสลายเลนส์ที่ขุ่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ดูดออก จากนั้นใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ วิธีนี้แผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กมาก ไม่จำเป็นต้องเย็บแผล ใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน หลังทำผู้ป่วยไม่ต้องใส่แว่นเวลามองไกล แต่เวลาอ่านหนังสือมักต้องใช้แว่นตาเช่นเดียวกับผู้ที่มีสายตายาวตามอายุทั่วไป
- Extracapsular Cataract Extraction (ECCE)
นิยมใช้ในกรณีจำเป็น เช่น ต้อกระจกสุกมาก เลนส์ที่ขุ่นแข็งจนไม่สามารถใช้คลื่นอุลตร้าซาวนด์สลายได้ ในปัจจุบันไม่นิยมใช้ เนื่องจากแผลจะใหญ่ หลังผ่าตัดต้องเย็บแผล ใช้เวลาในการดูแลแผลนานกว่า
วิธีการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์
- ไม่จำเป็นต้องงดน้ำและอาหารก่อนการผ่าตัด สามารถรับประทานได้ตามปกติ
- ก่อนผ่าตัด อาบน้ำ สระผม ชำระร่างกายให้สะอาด
- ในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ปรึกษาอายุรแพทย์ก่อนผ่าตัดเพื่อควบคุมอาการของโรคเดิมก่อน และอาจพิจารณาหยุดยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือดก่อนทำการผ่าตัด เป็นต้น
- ก่อนวันผ่าตัดจะมีการวัดขนาดของเลนส์แก้วตาเดิม เพื่อเลือกขนาดของเลนส์แก้วตาเทียม ให้เหมาะสมเฉพาะเป็นรายบุคคล
การดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดใส่เลนส์เทียม
- วันแรกหลังจากผ่าตัด ควรนอนพักให้มากที่สุด ห้ามนอนตะแคงทับข้างที่ผ่าตัด หลังผ่าจะปิดตา และมีฝาครอบตาไว้ก่อน
- หลังผ่าตัด 1 วัน แพทย์จะนัดเปิดตาหลังผ่าตัด เช็ดทำความสะอาดตาโดยใช้สำลีชุบน้ำเกลือ เช็ดจากหัวตาไปหางตาจนสะอาด หลังจากพบแพทย์แล้ว ผู้ป่วยสามารถสวมแว่นตาแทนฝาครอบตาได้ และใส่ฝาครอบตาเฉพาะตอนนอนเท่านั้น จนครบ 1 เดือน
- ห้ามน้ำเข้าตาเป็นเวลา 4 สัปดาห์ (หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต) ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาด ใบหน้าแทนการล้างหน้าแบบปกติ ระมัดระวังน้ำเข้าตาขณะอาบน้ำหรือสระผม
- ห้ามขยี้ตาข้างที่ผ่าตัด ใส่แว่นตาไว้หรือใช้ฝาครอบตาไว้ตอนนอน
- สวมแว่นกันแดดเมื่อออกไปในที่แสงจ้ามาก
- งดออกกำลังกายหนักๆ หรือยกของหนัก 2-3 สัปดาห์ (หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต)
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ใช้ยาต่าง ๆ ให้ครบถ้วนตามแผนการรักษา
- พบแพทย์เพื่อตรวจติดตามอาการตามนัดทุกครั้ง ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ตามัวลง ปวดตามาก มีขี้ตามาก ตาแดง ให้รีบมาพบแพทย์ก่อนถึงวันนัด