Laser Therapy หรือ การบำบัดด้วยแสงเลเซอร์ทางการแพทย์ เป็นเทคโนโลยีที่นำพลังงานแสงเชิงเดี่ยว (Monochromatic Light) ความยาวคลื่นจำเพาะเข้าสู่ร่างกาย เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของเซลล์ (Photobiomodulation) และก่อให้เกิดการซ่อมแซม ฟื้นฟู และลดการอักเสบโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อ โดยเทคนิคนี้เป็นที่ยอมรับในเวชศาสตร์ฟื้นฟู กายภาพบำบัด และเวชศาสตร์การกีฬา
หลักการทำงานของ Laser Therapy
โดยเครื่อง Laser Therapy จะอาศัยคุณสมบัติของแสงเลเซอร์เชิงเดี่ยว ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ลึกขึ้นตามความยาวคลื่น เช่น
เลเซอร์กำลังต่ำ (Low-Level Laser Therapy – LLLT)
เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 600–1000 nm มีพลังงานต่ำ ไม่ก่อให้เกิดความร้อน เน้นกระตุ้นการสร้างพลังงานในเซลล์ เพิ่มการผลิตพลังงาน ATP ส่งผลให้เนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้น
เลเซอร์กำลังสูง (High-Intensity Laser Therapy – HILT)
เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 800–1100 nm มีพลังงานสูงกว่า สามารถแทรกซึมได้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อและข้อต่อ และมีผลต่อการลดปวดและคลายกล้ามเนื้อโดยการยับยั้งการส่งสัญญาณปวดในระดับประสาทส่วนปลาย และเพิ่มการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดฝอย นั่นเอง
การยิงเลเซอร์รักษาอาการปวดยังส่งผลให้เกิด Photobiomodulation นั่นก็คือ กระบวนการเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานชีวภาพของร่างกาย ทำให้ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อโดยไม่ทำลายเซลล์
ประโยชน์ของ Laser Therapy
Laser Therapy มีประโยชน์กับทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
- ลดการอักเสบ โดย Laser Therapy จะช่วยยับยั้งสารก่อการอักเสบบางชนิด เช่น Prostaglandin และ Cytokine
- บรรเทาอาการปวด โดย Laser Therapy จะไปกระตุ้นการหลั่งเอนดอร์ฟิน และลดการส่งสัญญาณปวดจากเส้นประสาท
- เร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ โดย Laser Therapy จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและการสร้างของหลอดเลือดใหม่
- เพิ่มการไหลเวียนเลือด โดย Laser Therapy ช่วยให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น
- ช่วยลดอาการบวม จากการเพิ่มการระบายของเหลวส่วนเกินในบริเวณที่บาดเจ็บ
ข้อบ่งชี้ในการใช้ Laser Therapy เหมาะกับเคสประเภทไหน
Laser Therapy ใช้ในผู้ป่วยหลายกลุ่ม เช่น
- กล้ามเนื้อและเอ็นอักเสบ เช่น เอ็นร้อยหวายอักเสบ (Achilles Tendinitis) เอ็นข้อศอกอักเสบ (Tennis Elbow)
- ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง เช่น Myofascial Pain Syndrome
- ข้ออักเสบและเสื่อม เช่น ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) ข้อไหล่ติด (Frozen Shoulder)
- บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา เช่น กล้ามเนื้อฉีกขาด เอ็นยืด
- บาดแผลหายช้า เช่น แผลเบาหวาน แผลกดทับ
- เส้นประสาทบาดเจ็บ เช่น ปลายประสาทอักเสบ ชามือชาจาก Carpal Tunnel Syndrome
Laser Therapy เหมาะกับอาการผู้ป่วยระยะไหน
Laser Therapy สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยทั้งในระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง โดยมีความแตกต่างดังนี้
- ระยะเฉียบพลัน : ใช้เพื่อลดการอักเสบและปวดทันทีหลังบาดเจ็บ เช่น ภายใน 24-72 ชั่วโมงแรก แต่ต้องปรับพลังงานเลเซอร์ให้เหมาะสมเพื่อไม่กระตุ้นการอักเสบเพิ่ม
- ระยะเรื้อรัง : เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังหรือฟื้นตัวช้า เช่น ข้อเสื่อม หรือบาดแผลที่หายช้า เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
ความรู้สึกขณะรักษาด้วย Laser Therapy
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้สึกเพียงอุ่นเล็กน้อยบริเวณที่ยิงเลเซอร์ โดยไม่มีความเจ็บปวดและสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที แต่ในบางกรณีโดยเฉพาะการใช้เลเซอร์กำลังสูง อาจรู้สึกอุ่นชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติและปลอดภัย หากผู้ป่วยรู้สึกร้อนหรือแสบขณะทำการรักษา ควรแจ้งนักกายภาพบำบัดหรือแพทย์ทันที
ข้อห้ามและข้อควรระวังในการรักษาด้วย Laser Therapy
แม้ว่า Laser Therapy จะเป็นการรักษาที่ปลอดภัย แต่ก็มีข้อห้ามและข้อควรระวังที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ได้แก่
ข้อห้ามใช้
- ผู้ป่วยที่มีเนื้องอกหรือมะเร็งในบริเวณที่จะรักษา
- หญิงตั้งครรภ์ (บริเวณช่องท้องและหลังส่วนล่าง)
- ผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกง่ายหรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- บริเวณดวงตาโดยตรง
- ผู้ที่มีภาวะบกพร่องหรือสูญเสียการรับความรู้สึก
ข้อควรระวัง
- ควรสวมแว่นตาป้องกันแสงเลเซอร์ทุกครั้ง
- ต้องปรับระดับพลังงานให้เหมาะกับสภาพร่างกายผู้ป่วย
- หลีกเลี่ยงการยิงเลเซอร์บนผิวหนังที่มีรอยไหม้หรือบาดแผลเปิดโดยไม่ปิดป้องกัน
ระยะเวลาในการรักษาด้วย Laser Therapy
โดยปกติแล้วการรักษาด้วย Laser Therapy แต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 5-15 นาที ต่อ 1 จุดพื้นที่การรักษา โดยขึ้นอยู่กับพื้นที่การรักษาและความรุนแรงของปัญหา และจะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนหลังทำการรักษาต่อเนื่องประมาณ 5-10 ครั้ง ทั้งนี้ก็ขึ้นกับระยะของอาการปวดและการตอบสนองของผู้ป่วย
ซึ่งแพทย์และนักกายภาพบำบัดจะประเมินความถี่ที่เหมาะสมในการรักษา เช่น 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ในช่วงแรก แล้วลดลงเมื่ออาการดีขึ้น
สรุป
Laser Therapy เป็นเครื่องการรักษา ฟื้นฟู ที่ใช้พลังงานแสงกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ลดอาการปวดและการอักเสบ ได้ผลดีทั้งในโรคเฉียบพลันและเรื้อรัง ครอบคลุมตั้งแต่การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ไปจนถึงแผลเรื้อรังและภาวะเส้นประสาทบาดเจ็บ
โดยการรักษานี้จะปลอดภัยหากอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูหรือนักกายภาพบำบัดที่มีความชำนาญ ซึ่งจะประเมินความเหมาะสม ดูการปรับค่าพลังงาน และกำหนดแผนการรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากการใช้พลังงานเลเซอร์อย่างไม่ถูกวิธีได้