Electrical Stimulation ฟื้นฟูร่างกายด้วยไฟฟ้าอย่างปลอดภัย

article-Electrical Stimulation ฟื้นฟูร่างกายด้วยไฟฟ้าอย่างปลอดภัย

วันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568

5.00

Electrical Stimulation หรือ การกระตุ้นไฟฟ้าเพื่อการรักษา เป็นเทคนิคการรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัดที่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยหลายกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ผู้ป่วยอัมพาต หรือแม้แต่ผู้ที่มีอาการปวดจากการใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ ออฟฟิศซินโดรม โดยช่วยลดอาการปวด ฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง และกระตุ้นให้ระบบประสาทกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงปกติ

หลักการทำงานของ Electrical Stimulation

Electrical Stimulation หรือการกระตุ้นไฟฟ้าเพื่อการรักษา (Electrotherapy) เป็นหนึ่งในวิธีทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัดที่มีการใช้มานาน โดยอาศัยการส่งกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กผ่านขั้วไฟฟ้า (Electrodes) ไปยังกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาท เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสา

กระแสไฟฟ้าที่ใช้มักเป็นกระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำ (Low Frequency Current) หรือความถี่ปานกลาง (Medium Frequency Current) ซึ่งสามารถปรับระดับได้ตามวัตถุประสงค์การรักษา เช่น

  • TENS (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation): ใช้เพื่อลดอาการปวด โดยไปยับยั้งการส่งสัญญาณความเจ็บปวดจากเส้นประสาทไปยังสมอง
  • NMES (Neuromuscular Electrical Stimulation): ใช้เพื่อกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อในผู้ที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • Interferential Current Therapy (IFC): ใช้เพื่อบรรเทาปวดและเพิ่มการไหลเวียนเลือด

หลักการทำงาน คือ การเลียนแบบสัญญาณประสาทตามธรรมชาติที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อถูกกระตุ้นบ่อยครั้งอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรง ป้องกันการฝ่อลีบ และฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของ Electrical Stimulation

  • ลดอาการปวด : กระแสไฟฟ้าช่วยยับยั้งการส่งสัญญาณความเจ็บปวด ทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเฉียบพลันหรือเรื้อรังรู้สึกสบายขึ้น เช่น อาการปวดหลัง ปวดคอ ปวดกล้ามเนื้อ
  • ฟื้นฟูกล้ามเนื้ออ่อนแรง : เหมาะกับผู้ป่วยที่กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้เอง เช่น หลังจากเกิดอุบัติเหตุ อัมพาต หรือการตรึงข้อต่อเป็นเวลานาน
  • เพิ่มการไหลเวียนเลือดและลดบวม : การกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าทำให้หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มการไหลเวียนของออกซิเจนและสารอาหารไปยังเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ
  • ป้องกันการลีบของกล้ามเนื้อ : โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ การกระตุ้นไฟฟ้าความถี่ต่ำจะช่วยชะลอการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
  • ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูการเคลื่อนไหวเร็วขึ้น : เมื่อใช้ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดอื่น ๆ เช่น การออกกำลังกาย ฟื้นฟูการเดิน หรือการทำกิจกรรมบำบัด

ข้อบ่งชี้ในการใช้ Electrical Stimulation เหมาะกับเคสประเภทไหน

Electrical Stimulation ใช้ได้หลากหลาย โดยเฉพาะกับผู้ป่วยดังต่อไปนี้

  • ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่มีอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรงหลังผ่าตัด เช่น ผ่าตัดข้อเข่า ข้อสะโพก
  • ผู้ที่มีอาการปวดจาก Office Syndrome หรือปวดหลังเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • ผู้ป่วยโรคระบบประสาท เช่น เส้นประสาทบาดเจ็บ (Peripheral Nerve Injury)
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพหลังการตรึงอวัยวะเป็นเวลานาน เช่น หลังใส่เฝือก

Electrical Stimulation เหมาะกับอาการผู้ป่วยระยะไหน

การใช้ Electrical Stimulation สามารถประยุกต์ได้ตามระยะของอาการ ได้แก่

  • ระยะเฉียบพลัน (Acute Phase) : เน้นการลดปวด ลดการอักเสบและบวม
  • ระยะกึ่งเฉียบพลัน (Subacute Phase) : ช่วยกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อที่เริ่มฟื้นตัว
  • ระยะเรื้อรัง (Chronic Phase) : ใช้เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง ป้องกันการลีบของกล้ามเนื้อ
  • ระยะฟื้นฟู (Rehabilitation Phase) : ใช้ควบคู่กับการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว

ความรู้สึกขณะรักษาด้วย Electrical Stimulation

ขณะทำการรักษาผู้ป่วยจะรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ไหลผ่านบริเวณที่ติดอิเล็กโทรด อาจคล้ายกับการสั่นเบา ๆ หรือแรงดันเล็กน้อย หากเป็นการกระตุ้นเพื่อให้กล้ามเนื้อหดตัว ผู้ป่วยจะเห็นการกระตุกของกล้ามเนื้ออย่างชัดเจนแต่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งความแรงของกระแสไฟฟ้าจะถูกปรับให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อให้เกิดความสบายสูงสุด

ข้อห้ามและข้อควรระวังในการรักษาด้วย Electrical Stimulation

แม้การรักษาด้วย Electrical Stimulation จะมีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรระวัง ได้แก่

  • ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกาย
  • ผู้ป่วยโรคหัวใจรุนแรง หรือมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ผู้ที่มีแผลเปิด ผิวหนังอักเสบ หรือการติดเชื้อบริเวณที่จะรักษา
  • หญิงตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะบริเวณท้องและหลังส่วนล่าง
  • ห้ามวางอิเล็กโทรดใกล้บริเวณสมอง ดวงตา และลำคอด้านหน้า เนื่องจากอาจส่งผลต่อระบบประสาทสำคัญ

ระยะเวลาในการรักษาด้วย Electrical Stimulation

โดยทั่วไปการรักษาจะใช้เวลาประมาณ 15–30 นาทีต่อครั้ง ความถี่ของการรักษาขึ้นอยู่กับอาการและดุลยพินิจของแพทย์หรือกายภาพบำบัด อาจต้องทำสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง หรือมากกว่านั้นในบางกรณี

การเห็นผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของโรค ระยะเวลาที่ผู้ป่วยเป็นอัมพาตหรืออ่อนแรง รวมถึงการทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย ดังนั้นการรักษาควรเป็นแบบองค์รวมและทำอย่างต่อเนื่อง

สรุป

Electrical Stimulation ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางกายภาพบำบัดที่มีประสิทธิภาพในการลดปวด ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทอย่างปลอดภัย ภายใต้การดูแลของแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูหรือนักกายภาพบำบัด โดยการรักษานี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น

หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการปวดเรื้อรัง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออยู่ระหว่างการฟื้นฟูหลังเจ็บป่วย การรักษาด้วย Electrical Stimulation อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสม ควรเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อประเมินและวางแผนการรักษาที่ปลอดภัยที่สุด

Electrical Stimulation  Safe Rehabilitation With Therapeutic Electricity2

Share:
social-media-iconsocial-media-iconsocial-media-icon

ศูนย์การแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ คุณสามารถเลือกตั้งค่าความยินยอมการใช้คุกกี้ได้ โดยคลิก "การตั้งค่าคุกกี้" นโยบายความเป็นส่วนตัว