ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา การรักษามะเร็ง เป็นไปอย่างก้าวกระโดด ข้อมูลจากสหรัฐอเมริกา พบว่าจากการพัฒนาการรักษามะเร็ง ทำให้อัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งลดลงถึง หนึ่งในสี่ ในรอบยี่สิบปี
Cr. https://www.cdc.gov/cancer
นอกจากโอกาสการรอดชีวิตเพิ่มขึ้นแล้ว ผลข้างเคียงจากการรักษา ก็ลดลงอีกด้วย ทำให้การรักษามะเร็งไม่ทุกข์ทรมาน และน่ากลัวอย่างเคย
การผ่าตัด
มีเทคนิคในการผ่าตัดที่ทำให้มะเร็งหายขาดมากขึ้น อีกทั้งยังเน้นการผ่าตัดแบบบาดเจ็บน้อย เช่น การผ่าตัดเต้านมแบบสงวนเต้าและเลาะต่อมน้ำเหลืองเพียงบางส่วน การผ่าตัดช่องอกช่องท้อง แบบส่องกล้อง แผลเล็ก บาดเจ็บน้อย ฟื้นตัวไว รวมถึงมีการใช้หุ่นยนต์มาช่วยผ่าตัด เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการรักษา
การฉายแสง
จากเดิมฉายเพียงสองมิติ คือยิงระนาบเดียว ทำให้เนื้อเยื่อรอบๆได้รับผลกระทบมาก พัฒนามาถึง การฉายรังสีแบบปรับความเข้ม หรือการฉายรังสีแบบสี่มิติ ทำให้เนื้อเยื่อและอวัยวะใกล้เคียงเสียหายลดลง ในณะที่ทำลายมะเร็งได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การรักษาด้วยยา
ในสมัยเดิม มีเพียงยาเคมีบำบัด ซึ่งจะทำลายทั้งเซลล์ดี และเซลล์ร้าย ปัจจุบัน มียาที่ช่วยลดอาการ และผลข้างเคียงดีขึ้น รวมถึงองค์ความรู้ในการทำให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมรับการรักษาที่ดีขึ้น ทำให้ความทุกข์ทรมาน และผลข้างเคียงของการรับยาเคมีบำบัด ไม่ได้น่ากลัวเหมือนในอดีต
นอกจากนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไป ทำให้การรักษามะเร็งเป็นไปในรูปแบบ การแพทย์แม่นยำและครบวงจร (Comprehensive precision cancer treatment) จึงทำให้สามารถทราบถึงกลไกของการเกิดมะเร็งในคนไข้แต่ละคน และสามารถเลือกที่จะใช้ยามุ่งเป้า (Targeted therapy) เพื่อที่จะกำจัดมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีผลกระทบต่อคนไข้น้อยลง
และในการพัฒนายาอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ยุคปัจจุบัน เป็นยุคของยาภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งเปลี่ยนจากการใช้ยาไปทำลายมะเร็ง เป็นการช่วยส่งเสริมให้ภูมิคุ้มกันของเรา สามารถทำลายมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้น และผลข้างเคียงลดลงมาก
สุดท้ายปัจจัยหลักที่มีผลต่อความสำเร็จในการรักษาคือการเจอมะเร็งได้เร็ว ในระยะต้น ต้องขอบคุณเทคโนโลยีในการตรวจคัดกรองมะเร็งโดยจำเพาะ ซึ่งทำตั้งแต่การตรวจเลือด การตรวจภาพรังสี จนไปถึงการตรวจลึกถึงระดับพันธุกรรม ทำให้อัตราการหายขาด สูงกว่าที่เคย