โรคงูสวัด คืออะไร?
โรคงูสวัด (Shingles หรือ Herpes Zoster) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Varicella Zoster ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส แม้จะหายจากอีสุกอีใสไปแล้ว ไวรัสยังคงหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท และอาจกลับมาก่อโรคในรูปแบบงูสวัดได้ภายหลัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
อาการของโรคงูสวัด
-
รู้สึกปวดแสบปวดร้อนหรือคันบริเวณผิวหนัง
-
เกิดผื่นแดงและตุ่มน้ำใส เรียงตัวเป็นแนวยาวตามเส้นประสาท
-
มักพบที่ลำตัว ใบหน้า หรือบริเวณตา
-
มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
-
ในบางราย อาจมีอาการปวดตามเส้นประสาทแม้หายจากผื่นแล้ว (Postherpetic Neuralgia)
ใครคือกลุ่มเสี่ยงของโรคงูสวัด?
-
ผู้สูงอายุ (โดยเฉพาะอายุ 50 ปีขึ้นไป)
-
ผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใส
-
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง, มะเร็ง, เบาหวาน, ติดเชื้อ HIV
-
ผู้ที่เครียด พักผ่อนน้อย หรือรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน
การรักษาโรคงูสวัด
-
ยา: ยาต้านไวรัส เช่น Acyclovir, Valacyclovir ควรเริ่มภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีผื่น เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
-
ยาแก้ปวด: เพื่อลดอาการปวดแสบปวดร้อน เช่น ยาพาราเซตามอล หรือยาแก้ปวดเส้นประสาท
-
ดูแลผิวหนัง: รักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการแกะตุ่มน้ำ
-
ในบางรายที่มีอาการรุนแรง อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด 2 ชนิด ได้แก่
-
Zostavax (วัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์)
-
Shingrix (วัคซีนโปรตีนชนิดใหม่ ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงกว่า)
เหมาะกับใคร? :
-
ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
-
ผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใส
-
ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือมีโอกาสภูมิคุ้มกันต่ำ
หมายเหตุ: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
โรคงูสวัดเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ และหากรักษาอย่างทันท่วงที อาการจะหายได้โดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน ผู้สูงอายุและผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น อาการปวดเรื้อรังตามเส้นประสาท